ไหว้พระ(พิฆเนศ) 8 วัด ในเมืองปูเณ่

เมืองปูเณ่ นั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระพิฆเนศ เป็นเส้นทางของการเริ่มต้นจาริกแสวงบุญบูชามหาเทพแห่งความสำเร็จ สำหรับท่านที่ไม่ทราบประวัติเมืองนี้ ขอเกริ่นพอสังเขปว่า เมืองปูเณ่ หรือที่ชาวอังกฤษเรียกว่าปูณา อยู่ห่างจากมุมไบ 170 กิโลเมตร แต่ปัจุบันหันมาเรียกชื่อเดิมตามภาษามราฐี(Marathi) ครั้งหนึ่งปูเณ่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรมราฐา (Maratha) แต่ต้องตกไปเป็นของอังกฤษในสงครามโกเรคาวน์ปี 1818 และได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นเมืองป้อมค่ายโดยมีค่ายทหารตั้งแยกออกมาจากย่านเมืองเก่าที่แออัดจอแจ ปูเนเคยเป็นทั้งศูนย์กลางของขบวนการปฏิรูปสังคมฮินดูและขบวนการเรียกร้องเอกราชให้กับอินเดีย
วันนี้แอดมินขอหยิบยกบทความจากwww.taraarryatravel.com ที่จะพาไปไหว้พระ ขอพรจากองค์พระพิฆเนศในเมืองปูเณ่ ซึ่งเส้นทางไหว้พระพิฆเนศเป็นเส้นทางท่องเที่ยวกึ่งแสวงบุญของชาวฮินดู อินเดีย รวมถึงนักแสวงบุญผู้ให้การเคารพนับถือแด่องค์มหาเทพพระองค์นี้ ที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะในประเทศ หรือเดินทางมาจากต่างประเทศ สำหรับตลาดนักแสวงบุญชาวไทยนั้น เส้นทางนี้ยังถือว่ามีผู้เดินทางมาน้อย แต่ในจำนวนผู้ที่เคยเดินทางมาสักการะพระพิฆเนศเส้นทางเมืองปูเณ่ ทั้ง 8 องค์พระพิฆเนศนั้น มักจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองได้ขอพร จากองค์มหาเทพ เส้นทางนี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่า เส้นทางไหว้มหาเทพศักดิ์สิทธิ์พระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จทั้งปวง
1. Shree Viradvinayak Mahad
ที่วัดนี้มีตะเกียงที่จุดมากว่า 107 ปี Mahad เป็นเมืองที่มีความงดงามมาก เป็นเมืองโบราณสมัยก่อนถูกเรียกว่าเมือง Bhadrak มีนักบวช นักแสวงบุญ ลัทธิต่างๆที่ตั้งอยู่ในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก เมือง Mahad ห่างจากมุมไบ 63 กิโลเมตร
ประวัติของ Shree Viradvinayak Mahad
ในสมัยโบราณมีกษัตรยิ์ผู้ยิ่งใหญ่นามว่า Bhima เป็นกษัตริย์ของ Koudinyapur พระองค์ไม่มีโอรส ธิดา พระองค์เลยละทิ้งบ้านเมืองเสด็จไปพร้อมกับพระมเหสี มาอาศัยอยู่ในป่า เพื่อมาบำเพ็ญตบะ ทั้งสองได้เดินทางมาที่อาศรมของ Vishwamitra นักปราชญ์ Vishwamitra ได้ให้ Ekashar Gajanan Mantra และให้พระองค์สวดในวัด และให้สวดอย่างสม่ำเสมอ ทุกๆวัน หลายปีต่อมา พระองค์ได้พระโอรสที่มีพระสิริโฉมงดงามสมความปารถนา ซึ่งต่อมาได้พระนามว่า Rukmaganda พระองค์ทรงงดงามและมีรัศมีทองอร่ามที่พระวรกาย ในสมัยทรงพระเยาว์พระองค์ได้รับการถ่ายทอดคเณศมนตราจากเสด็จพ่อของพระองค์
อยู่มาวันหนึ่ง Rukmaganda พระองค์เสด็จเข้าไปล่าสัตว์ในป่า หลังจากที่ล่าสัตว์พระองค์ทรงเหนื่อยและทรงหิวน้ำ พระองค์ทรงไปที่ อาศรมของ Vachaknavi นักบวชทรงเชิญพระองค์เข้าไปในอาศรมและให้รอ ส่วนนักบวชออกไปอาบน้ำ กษัตริย์ Rukmaganda ทรงเข้าไปข้างในและขอน้ำดื่มจากภรรยาของนักบวช ชื่อ Mukunda แต่ Mukunda ได้ตกหลุมรักพระองค์และขอให้พระองค์เติมเต็มความปรารถนาของนาง แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ นาง Mukunda โกรธ และสาปพระองค์ ให้เป็นหูดให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ พระองค์ทรงออกจากอาศรมและเริ่ม สวดมนต์อ้อนวอนต่อองค์พระพิฆเนศ ร่างกายของพระองค์ก็กลับมางดงามเหมือนเดิม จนทุกคนจำไม่ได้ หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับวัง นาง Mukunda ก็ทนทุกข์อยู่กับความรักที่ไม่สมหวัง จนพระอินทร์ ได้แปลงกายเป็น กษัตริย์ Rukmaganda มาสมสู่กับนาง Mukunda หลังจากนั้นนางก็ท้องและคลอดลูกชาย ชื่อ Gritsamada เป็นเด็กน่ารักและฉลาดเฉลียว
วันหนึ่ง Gritsamada ได้เดินทางไปประชุมกับ Magadha Raja ก็มีนักบวช Atri,Vishwamitra ก็ได้คุยกันว่า Gritsamada ไม่ได้เป็นลูกของฤาษี Vachaknavi แต่เป็นลูกของ กษัตริย์ Rukmaganda และไล่ Gritsamada ให้ออกจากการประชุม Gritsamada กลับมาถามความจริงจากมารดา และเกิดการทะเลาะกัน จนมีเสียงมาจากสวรรค์ว่า Gritsamada เป็นลูกของพระอินทร์ Gritsamada เดินทางเข้าไปอยู่ในป่า เพื่อบำเพ็ญตบะ เป็นเวลา 6 ปี และกินเฉพาะใบไม้ Shir Gajanan ได้ปรากฏกายต่อหน้า Gritsamada และเขาได้ขอให้ป่าแห่งนี้เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ ให้มีผู้แสวงบุญเดินทางมาที่นี่ Lord Ganapati ได้พูดกับ Gritsamada ว่าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยและเก่งด้วยเวทมนตรา จะได้เป็นฤาษีแห่งมนตรา Sukta จะได้เป็นผู้กำเนิด Ganapatya Sampradaya จะได้ลูกชายที่กล้าหาญไม่แพ้ใคร ป่าแห่งนี้จะถูกขนานนามว่า Bhadraka in Kaliyuga ผู้คนที่ได้มาอาบน้ำที่นี่จะได้สมความปรารถนาในสิ่งที่ตนเองต้องการ หลังจากนั้น Gritsamada ก็ได้สร้างวัด และเทวรูป ชื่อ Varadavinayaka
ในปี 1690 Shree Dhondu Paudkar ได้พบเทวรูป Swayambhu ของ Shree Varadvinayak ในทะเลสาบ เทวรูปถูกเก็บไว้ใกล้กับวัดเทพธิดาก่อน ต่อมาในปี 1725 วัด Varadvinayaka ได้ถูกสร้างขึ้นโดย Peshava Sardar Ramji Mahadev Biwalkar เพื่อเป็นของขวัญให้กับหมู่บ้าน ตัววัดได้รับการบูรณะ มี Gomukh ทางเหนือ น้ำศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากปาก Gomukh ทะเลสาบตั้งอยู่ทางตะวันตก ตัววัดยาว 8 ฟุต กว้าง 8 ฟุต มีโดม สูง 25 ฟุต ประดับด้วยยอดเจดีย์ทอง เทวรูปโบราณสามารถมองเห็นจากด้านนอกของห้องศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เทวรูปได้รับความเสียหายจากอากาศ จึงมีการสร้างเทวรูปองค์ใหม่ขึ้นแทน ภายในประดิษฐานเทวรูปของ Riddhi และ Siddhi และ พระพิฆเนศ อยู่ที่มุม 2 มุม
2. Shree Ballaleshwar Pali
หมู่บ้านPali ตั้งอยู่ระหว่างป้อม Sarasgad และแม่น้ำ Amba อยู่ห่างจากมุมไบ โดยต้องผ่าน Panvel และ Khopoli ระยะทาง 124 กิโลเมตร และห่างจากปูเน่ 111 กิโลเมตร
ประวัติและเรื่องราวของ Shree Ballaleshwar Pali
ใน Krityuga เคยเป็นสถานที่เล่นของเด็กๆผู้แสวงบุญของ Ganapati ได้ถูกเรียกว่า Ballal Living แห่งหมู่บ้านปาลี ของเมือง Sindhu เขาเป็นลูกชายของนักธุรกิจที่ถูกเรียกว่า Kalyan และภรรยาของเขาคือ Indumati ในสมัยเด็ก Ballal เป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพิฆเนศและจะบูชาท่านเป็นประจำ เขามักจะบูชาพระพิฆเนศพร้อมกับเด็กๆคนอื่น โดยใช้หินก้อนเล็กสมมติให้เป็นองค์พระพิฆเนศ
ครั้งหนึ่งเด็กๆได้ออกไปนอกหมู่บ้านและไปพบก้อนหินขนาดใหญ่ ก็ได้นำมาบูชาเป็นพระพิฆเนศ Ballal ได้นำ Durva , Bilva และใบไม้หลากหลายชนิดมาบูชาพระพิฆเนศ เด็กบางคนเริ่มนั่งสมาธิ บางคนก็สวดมนต์ออกเสียง Jai Gajanan Jai Gajanan บางคนก็รำถวาย บางคนก็ร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ แล้วก็เริ่มสร้างวัดเล็กด้วยไม้ไผ่และใบไม้ และบูชาเทวรูปด้วยดอกไม้และใบไม้ เด็กชายคนหนึ่งเริ่มบรรยายเรื่องราวของพระพิฆเนศ ทำเป็นนี้จนลืมความหิวกระหาย ทั้งกลางวันและกลางคืน
พวกพ่อแม่ของเด็กๆก็รอพวกเขากลับบ้าน แต่เมื่อเด็กๆไม่กลับมาบ้านตามเวลา พ่อแม่ก็ไปที่บ้านของ Kalyan Vaishya และถามเขาว่า Ballal ลูกชายของท่านอยู่ที่ไหน ลูกๆของเราไปนอกหมู่บ้านกับเขาและยังไม่กลับมาเลย พ่อแม่เด็กก็ต่อว่าพ่อของ Ballal และบอกว่าให้สอนลูก ถ้าไม่อย่างนั้นจะร้องเรียนผู้ใหญ่บ้าน Kalyan โกรธมาก เขาถือไม้และออกไปตามลูกชาย เขาเห็นเด็กๆกำลังฟัง Ganesh Purana อยู่นอกหมู่บ้าน ด้วยความโกรธเขาทำลายวัดที่เด็กๆสร้างและก็จับเด็กๆ และว่า Ballal แต่เขาไม่สนใจเพราะกลังนั่งสมาธิอยู่ และพ่อเขาก็มาจับตัวเขาขณะกำลังนั่งสมาธิ เขาถูกตีจนเลือดออกจากร่างกาย พ่อมัดเขากับต้นไม้ และก็ทำลายของบูชาและโยนก้อนหินที่เด็กๆบูชาทิ้ง แล้วเขาก็พูดว่า ไหนพระเจ้าองค์ไหนจะปกป้องพวกเจ้า และเขาก็กลับบ้านไป
Ballal เริ่มอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า โอ้ Vinayaka โอ้ Vighnanashaka พระผู้เป็นเจ้าที่ขจัดอุปสรรคทั้งปวง ข้าได้สวดมนต์อ้อนวอนต่อพระองค์ ท่านคงไม่ลืมสาวกผู้ภักดีต่อท่าน เขาไม่สนใจร่างกายเขาที่ถูกมัดกับต้นไม้ เขาเห็นแต่เทวรูปและเครื่องบูชาที่ถูกทำลายและโยนทิ้งไป เขาได้สาป ใครที่โยนและทำลายของบูชาและเทวรูปแบบนี้ขอให้ตาบอด เป็นใบ้ หูหนวก หลังค่อม อยู่กับความเจ็บปวด ความหิว ความกระหาย
เขาสวดมนต์เอ่ยพระนาม Gajanana อยู่เขาสลบ พระเจ้า Gananpati ถูกย้ายโดยเด็ก แต่พระองค์ได้ปรากฏตัวเป็น Brahmin ก่อนที่ Ballal จะถูกตัวท่าน ในทันใดนั้นความหิว กระหายก็หายไป ความเจ็บปวด บาดแผลก็หายไป เขารู้สึกมีพลังสามารถขยับตัวได้ พระพิฆเนศได้บอกเขาว่าคำสาปของเขาจะเป็นจริงในการเกิดชาติหน้า เขาจะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก พ่อของเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครเลย พระผู้เป็นเจ้า ถามว่าเขาต้องการอะไรอีกไหม Ballal ได้พูดว่า จากนี้ต่อไปเขาจะไม่หวั่นไหว จะเชื่อมั่นศรัทธา ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ยากลำเค็ญของประชาชน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ พระพิฆเนศได้ตรัสว่า ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันจะใช้ชื่อของเธอ Ballal Vinayak และพระองค์ก็สวมกอด Balla และหายไป ใกล้ๆกับก้อนหิน ก้อนหินนั้นจึงถูกบูชาในฐานะของ Ballaleshwar เทวรูปที่ Kalyan โยนทิ้งถูกเรียกว่า Dhundi Vinayak
ตัววัดดั้งเดิมเป็นวัดที่สร้างจากไม้และถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหิน สร้างขึ้นเมื่อปี 1760 โดย Shri Fadnis ตัววัดล้อมรอบด้วยทะเลสาบสองทะเลสาบ ทะเลสาบด้านหนึ่งไหลไปทางขวา ซึ่งใช้ในพิธีบูชา พระพิฆเนศ ในช่วงของ Dakshinayan รัศมีของดวงอาทิตย์ แสงอาทิตย์จะส่องตกลงมาที่องค์พระพิฆเนศพอดิบพอดี
3.Shree Vighneshwar Ozar
เมือง Ozar ห่างจาก Narayangaon ประมาณ 12 กิโลเมตร และห่างจากปูเณ่ 85 กิโลเมตร จากเมืองมุมไบมาที่นี่ระยะทางประมาณ 182 กิโลเมตร
เรื่องราวและประวัติ วัด Shree Vighneshwar Ozar
กษัตริย์แห่งเมือง Hemavati ท่าน Sri Abhinandana ได้กระทำการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ พระอินทร์คิดว่าถ้าการเสียสละครั้งนี้สำเร็จผล พระอินทร์เลยขัดขวางการเสียสละครั้งนี้ พระองค์สั่งให้ Kala (เวลา) สร้างอุปสรรค์และทำลายการเสียสละนั้นเสีย ความดุร้ายมองเวลาไม่สามารถทำลายการเสียสละนั้นได้ แต่ความเสียสละอย่างอื่น สร้างอุปสรรค์สำหรับนักปราชญ์ นักบวช และผู้แสวงบุญ ด้วยเหตุนี้ประชาชนเลยเรียกท่านว่า Vighna เวทมนต์และธรรมะก็ค่อยๆหายไปจากโลก ทำให้เทพเจ้าทั้งหลายต้องอ้อนวอนต่อองค์ Gajanana และขอร้องให้ท่านช่วงปกป้องโลกจากความชั่วร้าย
Vighneshwar พระพิฆเนศ ได้อวตารมาเป็นบุตรชายของ Sage Parshva และมารดานามว่า Deepavatsala หัวหน้าเทพคือ Lord Shankara ได้มาพบกับพราหมณ์ Parshva และขอร้องให้เขาให้ Ganapati ได้ทำสงครามกับ Vighnasura พราหมณ์ Parshva แต่ท่านพราหมณ์ไม่เต็มใจที่จะให้ลูกชายทำสงคราม แต่ Ganapati ได้ช่วยพูดกับพ่อ พร้อมกับให้สัญญาว่าจะดำเนินการสร้างที่อยู่ของ Asura เขาได้ส่ง Ankush (Hook) ได้จับ Vighnasura ได้ก่อนพวกเทพเจ้าองค์อื่นๆ แต่อสูรได้แปลงเป็น พายุบ้าง น้ำบ้าง ไฟบ้าง Vinayaka ได้ทำลายภาพมายาที่อสูรแปลงมาทั้งหมด และในท้ายที่สุดเขาได้พบพลังอำนาจและใช้กุลยุทธ์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ Vighnasura ได้ตกลงมาที่เท้าของ Ganapati และยอมแพ้ อสูรได้ขอร้องให้พระพิฆเนศ ให้ใช้ชื่อเขาให้เหมือนเป็นเจ้าของตัวเอง Vinayak รับปากตามคำขอ ตั้งแต่นั้นมาพระพิฆเนศก็ถูกเรียกว่า Vighneshwara หรือ Vighnaraj พระพิฆเนศได้สั่งให้เขาทำตาม ใครที่สวดมนต์ชื่อนี้ อะไรที่เขาปรารถนา จงนำมาซึ่งความสำเร็จนั้นแก่ผู้ที่เอ่ยพระนามนี้
วิหารหลักของวัดนี้มีสองห้องโถงใหญ่ ห้องโถงแรกสูง 20 ฟุต และมีประตูหันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศใต้ มีเทวรูปของ Dhundiraj ส่วนโถงถัดไปสู 10 ฟุต ทางเข้ามีเทวรูปของหนูในท่ากำลังวิ่งทำจากหินอ่อน กำแพงตัววัดตกแต่งด้วยสีสันสวยงาม มีเทวรูปของ Panchayatan เช่น พระอาทิตย์ พระศิวะ พระวิษณุ พระพิฆเนศ ตั้งอยู่สี่มุมของตัวห้อง เทวรูปของ Vighneshwar Vinayak หันหน้าไปทางทิศตะวันออก วัดนี้สร้างเมื่อปี 1785 และถูกบูรณะในปี 1967 โดยเหล่าผู้ศรัทธาในองค์มหาเทพพิฆเนศ Shri Appashastri Joshi
4. Shree Girjatmaj Vinayaka Lenyadri
Lenyadri ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของริมฝั่งแม่น้ำ Kukadi วัดนี้ มีบันไดขึ้นไปยังตัววิหารหลัก 307 ขั้น
ตำนานและประวัติวัด Shree Girjatmaj Vinayaka Lenyadri
ความปรารถนาของพระนางปารวตีได้เป็นจริงเมื่อพระนางบำเพ็ญตบะเป็นเวลา 12 ปีในถ้ำเมือง Lenyadri พระนางก็ได้ลูกชายที่น่ารักมานั้นคือ Vinayak หรือพระพิฆเนศ พระนางต้องการอะไรพระพิฆเนศก็ประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้ ครั้งหนึ่ง Bhadrapada Shudh Chaturthi พระแม่ปารวตีได้ขัดถูผิวกายตัวเองและนำมาผสมกับน้ำมันกับขี้ผึ้งและปั้นเป็นเทวรูปพระพิฆเนศ พระนางเริ่มบูชาพระพิฆเนศ ทันใดนั้นเทวรูปนั้นก็พลันกลับมีชีวิตขึ้นมา และได้บอกกับพระนางว่า สิ่งที่ท่านต้องการตอนนี้อยู่ในบ้านของท่านเรียบร้อยแล้ว ในคืนวันที่ 11 เขาชื่อว่า คเณศ ซึ่งหมายถึง บุคคลที่เก็บรักษา 3 สิ่ง Satva, Raja และ Tama จะอยู่ภายใต้อำนาจของเขา
พระ Shiv Shankar ได้ประทานพรว่าใครจะทำอะไรต้องบูชาพระพิฆเนศ แล้วทุกสิ่งอย่างนั้นจะประสบความสำเร็จ ไม่มีอุปสรรค์ใดๆจะมาขัดขวางได้ คเณศเติบโตจนอายุ 15 ปี ที่ Lenyadri กษัตริย์แห่งยักษ์ Sindu ซึ่งได้รับคำทำนายว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของพระพิฆเนศ ได้ส่งยักษ์ Krur , Balasur, Vyomasur,Kshemma , Kushal และสมุนอีกหลายตนมาฆ่าพระพิฆเนศที่ Lenyadri แทนที่พระพิฆเนศจะถูกฆ่าพวกเหล่าอสูรต่างถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของพระองค์ Lenyadri จึงถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับมหาเทพพิฆเนศ ตอนอายุ 6 ขวบ Vishwakarma ได้บูชาคเณศ ด้วย บ่วง ขวาน ตะขอ และดอกบัว ในตอนอายุ 7 ขวบ Upanayan ได้รับการบูชาสักการะโดยปราชญ์ Gautama พระนางปารวตี มีอีกพระนามหนึ่งว่า Girija พระนาม Aatmaj หมายถึง ลูกคเณศ หรือจะเรียกอีกว่า Girijatmaj
บริเวณโดยรอบมีวัดถ้ำของพุทธ 18 ถ้ำ ตั้งอยู่บนภูเขา ลักษณะคล้ายกับถ้ำอชันตา เอลโลร่า วัด Shree Girjatmaj Vinayaka Lenyadri เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในถ้ำหมายเลข 8 ของถ้ำทั้งหมด ถ้ำถูกเรียกว่าถ้ำคเณศมีบันไดขึ้นไปที่ถ้ำ 307 ขั้นบันได ทางเข้าแกะสลักด้วยก้อนหินก้อนเดียว หันหน้าไปทางทิศใต้ ข้างหน้าของวิหารหลัก มีห้องโถงขนาดใหญ่ ยาว 53 ฟุต ฐาน 51 ฟุต แต่ไม่มีเสาสักต้นในห้องโถงใหญ่นี้ บริเวณโดยรอบมีห้องเล็กๆสำหรับนั่งสมาธิ 18 ห้อง เทวรูปของ Shree Girijatmaj ประดิษฐานอยู่ตรงห้องกลางห้องโถง ห้องโถงของวิหารหลักสูง 7 ฟุต มีเสา 6 เสา และมีรูปแกะสลักวัว และช้าง
5. Shree Chintamani Theur
Theur ตั้งอยู่ 25 กิโลเมตรจากเมืองปูเน ตัวเมืองตั้งอยู่บนปากแม่น้ำสามแม่น้ำรวมกันคือ แม่น้ำ Mula, แม่น้ำ Mutha แม่น้ำ Bhima
ตำนานวัด Shree Chintamani Theur
กษัตริย์ Abhijeet และมเหสี Gunavati ได้บำเพ็ญตบะหลายปี ตามคำแนะนำของพราหมณ์ Vaishampayan และสุดท้ายก็ได้บุตรชายชื่อว่า Gana และต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ Ganaraja ซึ่งเป็นบุตรชายที่กล้าหาญชาญชัย มีครั้งหนึ่ง Ganaraja ได้ออกล่าสัตว์ จนมาถึงอาศรมของฤาษี Kapila และทรงพักผ่อน ฤาษี Kapila ได้ให้การต้อนรับและเชิญท่านรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน พระอินทร์ทรงเคยให้อัญมณีที่งดงามมากแก่ฤาษี Kapila อัญมณีนั้นเรียกว่า Chintamani ซึ่งช่วยให้ฤาษีเรียกอาหารได้ Ganaraja เริ่มสนใจในพลังพิเศษของอัญมณีนี้และได้ถามฤาษีว่าขออัญมณีนี้ให้เขาได้ไหม แต่ฤาษีปฏิเสธที่จะไม่ให้ Ganaraja จึงบังคับเอาอัญมณีนั้นมาจากฤาษี ทำให้ฤาษีนั้นผิดหวังเป็นอย่างมาก
เทพีทุรคา แนะนำฤาษีให้ขอพรต่อองค์ Ganapati ฤาษีได้อ้อนวอนต่อ Gananpati Gananpati ได้ให้สัญญาณว่าจะเอาอัญมณีมาคืนให้ Gananpati และ Ganaraja ได้ต่อสู้กันบริเวณใกล้กับต้นไม้ Kadamba. Gananpati ได้ฆ่า Ganaraja ด้วยขวานกษัตริย์ Abhijeet ได้คืนอัญมณี Chintamani ให้แก่ฤาษีและขอให้ยกโทษให้ลูก พระองค์ได้หลานชายและให้หลานชายขึ้นครองราชย์ ฤาษี Kapila ได้ประดับตกแต่ง Vinayaka ด้วยอัญมณี Chintamani และสวดมนต์อ้อนวอน หลังจากนั้น Ganapati จึงถูกเรียกว่า Chintamani Vinayaka, Kapila – Vinayaka และ Sumukha – Vinayaka ห้องโถงของวัดสร้างด้วยไม้และมีน้ำพุเล็กสร้างจากหินสีดำ วัด Shree Chintamani Ganapati สร้างโดย Dharanidhar Maharaj Dev ครอบครัวของ Morya Gosavi หลังจาก 100 ปี ต่อมา Madhavrao Peshva สร้างห้องโถงของวัด
6. Shree Siddhivinayak Siddhatek
Siddhatek ตั้งอยู่ที่อำเภอ Ahmednagar สามารถเดินทางจากเมืองมุมไบโดยผ่าน Patas, Bhigwan และ Rashin
ตำนาน Shree Siddhivinayak Siddhatek
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Tretayug ในครั้งหนึ่ง Brahmadev ได้บำเพ็ญตบะต่อองค์พิฆเนศ โดยการสวดมนต์ตราและปรารถนาจะสร้างโลก พระคเณศก็ได้ให้พรเขาสมความปรารถนา เติมเต็มความต้องการของเขา เมื่อพระพรหมได้ทำการบูชาพระพิฆเนศ ได้มีหญิงสาวสวย 2 คน ชื่อว่า Siddhi และ Riddhi ได้ปรากฏกายก่อนพระพรหม และบอกว่าทั้งสองเป็นธิดาของพระพรหม และบอกว่าพระพรหมได้มอบธิดา 2 องค์นี้ให้กับพระคเณศ ดังนั้น Siddhi และ Riddhi ได้แต่งงานกับคเณศ พระพรหมได้สร้างวรรณะ 3 วรรณะขึ้นมาคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ จากแขนของพระองค์
พระองค์สร้างพระจันทร์จากหัวใจ สร้างพระอาทิตย์จากดวงตา สวรรค์จากศีรษะ ลมและชีวิตจากหู แผ่นดินจากขา และสร้าง ทะเล แม่น้ำ ต้นไม้ พุ่มไม้ ในขณะที่พระพรหมยุ่งอยู่กับการสร้างโลก พระวิษณะได้บรรทมศิลป์ เวลาผ่านไป ได้มียักษ์ชื่อว่า Madhu และ Kaitabha ได้ถูกสร้างขึ้นจาก ขี้หูของพระวิษณุ และได้หึกเหิม ก่อกวน Brahmadeva, Brahma, Shesha, Prithvi ให้ได้รับความเดือดร้อน สั่งให้ปลุกพระวิษณุ พระพรหมได้ขอให้ Nidradevi ให้ออกจากพระวิษณุ พระวิษณุจะได้ลุกขึ้นได้และทำลายอสูรสองตัวนั้น พระวิษณุได้ลุกขึ้นต่อสู้กับอสูร แต่พระองค์ไม่สามารถฆ่าอสูรได้ เป็นเวลา 5000 ปี
พระวิษณุได้หยุดการทำสงคราม และพระองค์เริ่มร้องเพลง พร้อมๆกับเหล่าเทพ ยักษ์ อสูร พระศิวะ Shankara ได้ยินเสียงร้องเพลงของเหล่าเทพ ก็ได้ให้ทหารชื่อว่า Nikumbh และ Pushpadanta ไปเชิญองค์พระวิษณุ มาที่เขาไกรลาส และได้ถามว่ามีอะไร เหล่าเทพได้บอกให้พระวิษณุบอกถึงปัญหา พระวิษณุก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังและขอให้พระศิวะช่วยหาทางฆ่าอสูรนั้นให้ด้วย พระศิวะเลยบอกว่าเพราะพระวิษณุไม่ได้บูชาพระพิฆเนศก่อนทำสงครามจึงทำให้ไม่สามารถชนะสงครามได้ และได้ให้หกมนตราของพระคเณศ และบอกให้พระวิษณะให้ Siddhi Kshetra นั่งสมาธิ
พระวิษณุได้สวดมนตรานี้เป็นเวลากว่า 100 ปี ที่ Siddhatek Vinayaka ได้ปรากฏตัวก่อนพระองค์ และให้พระองค์ทำลายอสูร Madhu, Kaitabha และอสูรอื่นๆ พระวิษณะได้สร้างวัดขนาดใหญ่และมีประตู 4 ประตู และมีการสร้างเทวรูปคเณศที่ทำจากหินจากแม่น้ำGandaki พระคเณศถูกเรียกว่า Siddhivinayak และสถานที่นี้จึงถูกเรียกว่า Siddhatek พระวิษณุได้ Siddhi ที่นี่ พระวิษณุได้กลับมาต่อสู้ที่นี่กับ Madhu และ Kaitabha พระวิษณุได้ถามอสูรว่าต้องการอะไร อสูรก็เลยตอบว่า แล้วท่านละต้องการอะไรสามารถขอจากข้าได้เช่นกัน พระวิษณุก็เลยขอให้ได้พบอสูรทั้งสองและต้องตายด้วยมือของพระวิษณุเอง อสูรตกใจ และมองเห็นน้ำมารอบๆ ตัวเอง และบอกพระวิษณุว่า ฆ่าเราที่บริเวณนี้ที่ไม่มีน้ำล้อมรอบ พระวิษณุอวตารให้ตัวใหญ่มหาศาล และจับพวกเขาวางบนตักของพระองค์ และฆ่าพวกเขาด้วยอาวุธของพระองค์
วัดนี้สร้างโดยพระวิษณุ และถูกทำลายหลังจากนั้นไม่นาน Shree Vinayak ได้ปรากฏตัวในความฝัน และบอกเขาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง Shephered ได้ค้นหาเทวรูปและเริ่มบูชาด้วยตัวเอง อีกครั้งที่ พระพิฆเนศได้ปรากฏตัวในความฝันและให้บูชาพระองค์โดย พราหมณ์ ปุโรหิต Siddhatek ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำ Bhima วัด Shree Siddhivinayak Siddhatek ตั้งอยู่บนยอดเขาหันหน้าไปทางทิศเหนือ ห้องบูชาของวัดสูง 15 ฟุต และฐาน 10 ฟุต สร้างโดย Ahilyabai Holkar เทวรูป Swayambhu มีเทวรูปทองเหลือของ Jay และ Vijay ได้ถูกวางไว้ทั้งสองข้างของ Siddhivinayak มีวัดพระศิวะ
7. Shree Moreshwar Morgaon
ตำนานและประวัติวัด Shree Moreshwar Morgaon
เมือง Gandaki ก่อตั้งโดย กษัตริย์ Chakrapani และมเหสี Ugra แต่ทั้งหมดสองพระองค์ไม่มีลูกด้วยกัน พราหมณ์ Shaunak แนะนำให้ทั้งสองพระองค์บำเพ็ญตบะถวายแด่พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ได้ให้พรแก่มเหสี Ugra ให้ท้องตามความตั้งใจ แต่พระนางไม่สามารถอดทนต่อความร้อนในครรภ์ของพระนางได้ พระนางคลอดลูกในทะเล เป็นโอรสที่งดงามมากเกิดในทะเล ทะเลเกิดจากพระพรหม
กษัตริย์ Chakrapani มีอีกพระนามหนึ่งว่า Sindhu (ชื่อหนึ่งของทะเล) ราชกุมาร Sindhu ได้เรียนมนต์สุริยะ จากท่านครู Shukracharya และบำเพ็ญตบะเป็นเวลาสองพันปี พระอาทิตย์ได้บอกว่าตราบใดที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในท้องของราชกุมาร Sindhu ความตายจะไม่สามารถทำอะไรพระองค์ได้ พระโอรส Sindhu ได้กลับมาที่อาณาจักรและครองราชย์ต่อจากเสด็จพ่อของพระองค์(กษัตริย์ Chakrapani ได้เสด็จไปบำเพ็ญเพียรในป่า) กษัตริย์ Sindhu ได้ขยายอาณาจักรปกครองโลก พระองค์ได้ตีอาณาจักรข้างเคียงให้มาอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ มีทั้งอสูรมาร่วมทัพ ในที่สุดพระองค์ก็รุกรานโจมตี Amravati พระอินทร์พ่ายแพ้
กษัตริย์ Sindhu สั่งให้พระวิษณุอยู่ที่เมือง Gandaki กษัตริย์ Sindhu ชนะเทพทุกองค์และนำพวกเทพมาขังไว้ที่เมือง Gandaki หลังจากที่พระองค์ชนะทั้งโลก พระองค์ก็เดินทางต่อไปยังภูเขาไกลลาส ซึ่งในขณะนั้นเทพทั้งหมดก็อยู่รวมกันตามคำแนะนำของ Brahaspati ภูเขาบนสิงโต มี 10 มือ Ganapati ได้ปรากฏตัวต่อพวกเขาและให้สัญญาว่าจะเกิดเป็นลูกของพระนางปาราวตี และจะฆ่า Sindhu เหล่าเทพก็เชื่อมั่นและรอคอยเวลานั้น พระศิวะ พระแม่ปาราวตีได้ไปอยู่บนภูเขาเมรุอาศัยอยู่ด้วยความสงบ พระศิวะได้ให้มนตราของ Gananpati แก่พระแม่ปาราวตี ให้นางสวดมนต์นี้เป็นเวลา 12 ปี Gananpati ก็ได้ให้พรแก่พระนางตามความต้องการ หลังจากนั้นพระนางก็ได้ปั้นรูปปั้นคเณศขึ้นจากดินเหนียวและทำการบูชา ทันใดนั้นรูปปั้นนั้นก็กลับมีชีวิตขึ้นมา และได้ฆ่า กษัตริย์ Sindhu
พระศิวะได้ให้ชื่อว่า คเณศ โดยให้พรว่าถ้าใครจำพระคเณศ รำลึกถึงคเณศก่อนทำการใดๆ งานนั้นจะประสบความสำเร็จทุกประการ วิหารหลักของวัดหันหน้าไปทางทิศเหนือ กลางหมู่บ้าน เหมือกับเป็นป้อมขนาดเล็ก ลานวัดประกอบด้วยโดม โดยรอบ สูง 50 ฟุต และมีเสา 4 เสาในแต่ละมุม วิหารหลักสร้างจากหินสีดำ วัดนี้สร้างในช่วงศิลปะ Moghule โดย Mr. Gole วัดมี 4 ประตู
8. Shree Mahaganapati Ranjangaon
ตำนานและประวัติวัด Shree Mahaganapati Ranjangaon เป็นเรื่องราวของ Tretayug เป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่และมีความฉลาดมากของนักปราชญ์ Gritsamada เขาได้มีมนตราแห่งความสงบ Gananam Tvam Ganapati ชื่อของเขาได้มาเพราะการสวดมนตรานี้ มีครั้งหนึ่งฤาษี Gritsamada มีอาการไออย่างหนัก จากการไปทำให้เกิดเด็กผิวกายสีแดง และเด็กได้บอกว่าเขาเป็นลูกชายของ ฤาษี Gritsamada และได้บอกอีกว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นผู้ปกครองทั้งสามโลก และจะชนะพระอินทร์ด้วย เขาก็เลยสอนมนตราของพระคเณศให้กับลูกของเขาและแนะนำให้บูชาพระคเณศ ลูกชายสวนมนตรานี้เป็นเวลา 5000 ปีและบูชาพระพิฆเนศ และขอให้ความตั้งใจที่จะเป็นผู้ครองสามโลกประสบความสำเร็จ
พระพิฆเนศเลยบอกว่า เจ้าจะชนะเทพเจ้าทุกองค์ ยกเว้นพระศิวะ ข้าจะยกเมืองสามเมืองให้เจ้า คือเมืองเหล็ก เมืองทองคำ เมืองเงิน เจ้าจะไม่แพ้เทพเจ้าองค์ใดเลย เจ้าจะถูกเรียกว่า Tripura หากเจ้าต้องการอะไรจงสมดังใจปรารถนา จะมีเพียงแค่ลูกศรจากพระศิวะเท่านั้นที่จะสามารถทำลายเมืองทั้งสามเมืองของเจ้าได้ Tripurasur ได้กลับมาและได้ชนะกษัตริย์ เทพเจ้าทุกองค์และก็ครองสามโลกตามความประสงค์ เหล่าเทพบางองค์ก็หลบหนีไปอยู่ในหิมาลัย พระศิวะและพระปาราวตีเริ่มอยู่ที่ภูเขามันดาลา Tripurasur ได้สร้างโอรสสององค์ ชื่อ Chand และ Prachand และได้ให้อาณาจักร Brahmalok ให้แก่ลูกชายคนหนึ่ง และได้ให้อาณาจักร Vishnulok แก่ลูกชายอีกคน ฤาษี Dev Rishi narad ได้มาช่วยเหล่าเทพ โดยเล่าเรื่องราวของ Tripurasur ให้เหล่าเทพฟัง และบอกพวกเขาว่า มีเพียงเทพองค์เดียวที่จะฆ่า Tripurasur ได้นั้นคือพระศิวะเท่านั้น แล้วให้เหล่าเทพสวดมนต์อ้อนวอนต่อองค์มหาเทพศิวะด้วย คำเริ่มต้นว่า โอม ตัววัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าที่ใหญ่และสวยงามมาก มีเทวรูปสององค์ตรงทางเข้าคือ Jay และ Vijay
สำหรับใครที่มีโอกาสมาอินเดีย มีเวลาแวะมาเมืองปูเณ่ และนับถือศรัทธาองค์เทพพระพิฆเนศ เราแนะนำให้ไปสัการะตามเส้นทางวัดดังที่กล่าวมาแล้ว รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีวัดขึ้นชื่ออีกมากมาย ซึ่งเราไม่พลาดเอามานำเสนอ รอติดตามนะครับ และก็ต้องขอขอบคุณบทความดีๆ จาก ธารา อารยะ แทรเวล ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ใครสนใจแพคเกจทัวร์ ลองเข้าไปดูและติดต่อได้ที่ www.taraarryatravel.com หรือโทรสอบถามโดยตรงที่ 02 – 948 8437 , 02 – 948 8473 วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีครับ 🙂
ต้นเรื่อง : http://www.taraarryatravel.com/info_page.php?id=651&category=34
แสดงความคิดเห็น