Updates

มองอินเดียใหม่ บ้านเกิดภาษา มารดาตำนาน

“อินเดีย คือ แหล่งกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ คือ บ้านเกิดของภาษา คือ มารดาของตำนาน และประวัติศาสตร์ คือ บรรพบุรุษของขนบประเพณีอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของเรา และทุกสรรพวิชาในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ล้วนแล้วแต่พบได้ในอินเดียเท่านั้น” ถ้อยคำ ที่ มาร์ค ทเวน นักเขียนชาวอเมริกันมอบให้กับอนุทวีป ที่ปัจจุบันอัดแน่นไปด้วยประชากรหลากชาติพันธุ์กว่า 1,200 ล้านคน บนพื้นที่สามล้านกว่าตารางกิโลเมตร

gdp_panasonic--621x414นอกจากเป็นประเทศต้นกำเนิดพุทธศาสนาแล้ว สิ่งที่คนไทยรับรู้เกี่ยวกับอินเดียมาโดยตลอดมักจะเป็นภาพด้านลบ เช่น ด้อยพัฒนา ยากจน สกปรก ไปจนถึงการมองว่าคนอินเดียยังไร้การศึกษา และอาจมีคนไทยอีกไม่น้อยที่อาจร้องยี้ หากพูดถึงประเทศอินเดียขึ้นมา แต่ยุคสมัยย่อมเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของอินเดียไปตามกาลเวลา ดังที่ปรากฏชัดในทุกวันนี้ว่า อินเดีย ไม่เพียงแต่เป็นประเทศที่รุ่มรวยทางด้านวัฒนธรรมเท่านั้น แต่เศรษฐกิจของอินเดียในปัจจุบัน กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีอิทธิพลอย่างสูงในเวทีโลก และกลายเป็นหนึ่งในผู้นำยักษ์ใหญ่ของเอเชีย

yeh-jawaani-hai-deewani-19a-e2487e

นอกจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่รู้จักกันดีในนาม “บอลลีวูด” (Bollywood) จะทำเงินให้อินเดียอย่างสูงแล้ว อินเดียยังมีบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมยา ที่มีส่วนแบ่งในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น “Infosys” บริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สัญชาติอินเดีย ก็สร้างรายได้ปีละกว่า 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ขณะที่บริษัท Cipla ผู้ผลิตยาชั้นนำ และมีรายได้สูงเป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรมยาอินเดีย จับมือกับบริษัท Desano Group จากประเทศจีน จนปัจจุบัน จีน และอินเดีย เบียดชาติอื่น ไปครองส่วนแบ่งการผลิตยาได้ถึงร้อยละ 80 ของยาที่ใช้กันทั่วโลก

?????????????????????????????????????????

ไม่เพียงเท่านี้ ปัจจุบัน คนอินเดียเริ่มมีกำลังซื้อ และความต้องการในการบริโภคเพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จากแบรนด์สินค้าระดับโลกต่างๆ ที่ทยอยหลั่งไหลเข้ามาในอินเดีย ตั้งแต่รถหรู อย่างแอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เฟอรารี (Ferrari) หรือมาสเซราติ (Maserati) ไปจนถึงแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องสำอางระดับโลกที่ทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่ในห้างใหญ่ที่ผุดขึ้นมาเป็นระยะเช่นกัน แม้แต่แบรนด์ชั้นนำอย่าง “แอร์เมส” (Hermes) ยังทำชุดส่าหรีขายในอินเดียมาแล้ว ข้อมูลจาก Financial Times ระบุว่า ปี 2011-2012 อินเดียมีจำนวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินสูงกว่า 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กว่า 8.1 หมื่นคน โดยคาดว่าในอีก 4 ปีถัดจากนี้ จะมีมหาเศรษฐีในกรอบรายได้เดียวกันนี้สูงถึง 2.86 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นอีกกว่าสามเท่า

อย่างไรก็ตาม นอกจากเศรษฐกิจ และการลงทุนในอินเดียที่เติบโตแซงหน้าสาธารณูปโภคภายในประเทศไทยแล้วนั้น ความรุ่มรวยทางสังคม ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของอินเดีย ตามที่นักประพันธ์ชาวอเมริกันกล่าวไว้ ยังทำให้อินเดียเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่สนใจใคร่รู้ในสรรพวิชาของดินแดนแห่งนี้อีกด้วย  ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาด้านเทคโนโลยี ที่อินเดียไม่เป็นสองรองใครในโลก จน “บังกาลอร์” ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซิลิคอน วัลเล่ย์ แห่งอินเดีย” (Silicon Valley) ไปจนถึงสถาบันอย่าง Indian Institute of Technology (IITs) ที่ถือเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำในด้านเทคโนโลยี

รวมไปถึงสถาบันอื่นๆ เช่น Indian Institute of Science (IISC) , Indian School of Business (ISB) , Indian Institute of Management (IIMs) , หรือ All Indian Institute of Medical Science (AIIMs) ซึ่งมีความโดดเด่นเฉพาะทางแตกต่างกัน จนบางคนถึงกับกล่าวว่า อินเดียมีทุกคณะและสาขาวิชา ที่จะรับใช้โลกแห่งเทคโนโลยี ดาวเทียม อวกาศ และโลกแห่งอนาคต เพราะปัจจุบัน อินเดียสามารถออกแบบ ผลิต และยิงจรวด รวมถึงดาวเทียมเอง โดยไม่จ้างชาติใด ชนิดที่แม้แต่ประเทศอิตาลี ยังเคยจ้างอินเดียให้ผลิต และยิงดาวเทียมมาแล้ว ทั้งนี้ อินเดีย เป็นประเทศที่มีดาวเทียมใช้เป็นของตัวเองมาตั้งแต่ปี 1960 และยังได้สร้างปรากฏการณ์ยิงดาวเทียมขึ้นฟ้าครั้งเดียว กว่า 10 ดวง เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา จนทั่วโลกให้การยอมรับ

Forest Research Institute, Dehradun

Forest Research Institute, Dehradun

นอกจากความรู้ในสายวิทยาศาสตร์แล้ว อินเดียยังมีมหาวิทยาลัยชื่อดังอื่นๆ ที่มีความเข้มข้นทางวิชาการในศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านปรัชญา สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา ศิลปะ ภาษาศาสตร์ หรือศาสนา เป็นต้น สถาบันอย่าง University of Delhi , Jawaharlal Nehru University หรือ University of Pune ก็เป็นสถานศึกษาที่คนไทยให้ความสนใจมาร่ำเรียนกันมากตั้งแต่ในอดีต หรือจะเป็น University of Calcutta , Banaras Hindu University หรือ Visva Bharati ก็ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความสนใจจากนักศึกษาไทย และต่างชาติไม่แพ้กัน

สำหรับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในอินเดีย จะใช้ภาษาอังกฤษในการเรียน การสอน จึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับนักศึกษาที่ต้องการไปศึกษาต่อ แม้อาจจะต้องใช้เวลาช่วงแรกในการปรับตัวให้เข้ากับสำเนียงอังกฤษแบบอินเดีย ซึ่งอาจรัว และเร็ว ไปบ้าง แต่รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถ และอาจช่วยให้การฟังภาษาอังกฤษจากสำเนียงอื่น ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย อีกทั้ง ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนก็ยังค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ค่อนข้างสูง จึงถือว่าคุ้มค่า

India street life

นอกจากนี้ สำหรับนักศึกษาที่สนใจมาศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจความหลากหลายของสังคมอินเดียว่าไม่ได้มีเฉพาะด้านที่เจริญแล้ว หรือด้านที่ยังขาดการพัฒนาอยู่ การมีสลัมห่างจากห้างสรรพสินค้าหรูเพียงไม่กี่ร้อยเมตรในอินเดียจึงไม่ใช่เรื่องแปลก คนที่สนใจมาศึกษาต่อที่อินเดียจึงควรศึกษาวัฒนธรรมของคนอินเดียล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องประสบปัญหาคัลเจอร์ ช็อก (Culture Shock) กับวัฒนธรรมเฉพาะของสังคมอินเดียที่เต็มไปด้วยผู้คนจากหลากเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ

หากเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมอินเดียได้ การมาเรียน และอาศัยในดินแดนที่ถูกขนานนามว่าเป็นเสมือนอนุทวีปแห่งนี้ ก็ไม่น่าใช่เรื่องยาก และนอกจากความรู้ทางวิชาการที่จะได้จากในรั้วมหาวิทยาลัย นักศึกษาย่อมจะได้ประสบการณ์แปลกใหม่ที่อาจหาไม่ได้จากมุมอื่นของโลก

 

*** * * * *

เครือข่ายนักเรียนไทยในอินเดีย

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี

กันยายน 2557

 

แสดงความคิดเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

%d bloggers like this: